วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หน่วย11และ12


                                          หน่วยการเรียนรู้ที่ 12
                                                 เสี่ยงเสพติด

สถานการณ์เสี่ยงต่อการติดสารเสพติด

สภาพสังคมในปัจจุบันมีสถานการณ์ และปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดสารเสพติดหลายประการณ์ เพื่อจะได้เลี่ยงให้ตนเองปลอดภัยจากสารเสพติด สถานการณ์เสี่ยงที่ทำให้เกิดสารเสพติดมีดังนี้

1.สภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสารเสพติด
2.สถานที่เที่ยวกลางคืน
3.ปัญหาส่วนตัว
4.ความอยากทดลอง
5.การใกล้ชิดกับผู้ติดสารเสพติด
6.การขาดความรู้
7.การประกอบอาชีพที่ต้องทำงานหนักเป็นระยะเวลานานๆ
8.ความจำเป็นของร่างกาย
9.ความต้องการฤทธิ์ที่พึ่งประสงค์ของสารเสพติด
10.การไม่ได้รับความสำคัญในครอบครัว

ทักษะชีวิตเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเสพติด

ทักษะชีวิต คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

1.ทักษะการคิดวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ข้อมูล
2.ทักษะการสื่อสาร เป็นความสามารถในการใช้คำพูดและท่าทางเพื่อแสดงออกถึงความนึกคิดของตนเองใน สถานการณ์ต่างๆไดอย่างเหมาะสม ในการพูดปฏิเสธควรดังนี้
  • ต้องปฏิเสธอย่างแข็งขันด้วยท่าทาง คำพูด น้ำเสียง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามีอิธิพลเหนือเขา ไม่ใช่เขามีอิธิพลเหนือเรา
  • ใช้ความรู้สึกของตนเองด้วยเหตุและผล ไม่ต้องใช้เหตุผลอื่น เพื่อให้ผู้ชักชวนต่อความได้ยาก
  • ถนอมน้ำใจผู้ชักชวน โดยถามความเห็นของเขา เพื่อแสดงว่าเราให้เกียรติเขา
  • หลีกหนีให้ห่างไกลสถานการณ์นั้นโดยเร็ว
3.ทักษะการตัดสินใจ เป็นความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่่องราวต่างๆในชีวิตได้อย่างมีเหตุผล
4.ทักษะการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการจักการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมีระบบ โดยวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และคิดวิธีการอก้ไขปัญหาด้วยการใช้เหตุผล พิจารณาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด้านดี


หน่วยการเรียนรู้ที่11 
สารเสพติด

สารเสพติด หมายถึงสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายด้วยการกิน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีอื่นๆทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ต้องการเสพมากขึ้นเรื่อย มีอาการขาดยา เมื่อไม่ได้เสพ

ประเภทของสารเสพติด แบ่งได้ดังนี้

1.แบ่งตามแหล่งที่เกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.1ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตจากพืช เช่น ฝิ่น กระท่อม กัญชา
1.2ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอีน (Heroin) แอมเฟตามีน (Amphetamine) หรือยาบ้า เป็นต้น

2.แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แบ่งออก 5 ประเภท

2.1 ประเภทที่ 1 ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี(LSD) แอมเฟตามีน(Amphetamine)หรือยาบ้า ยาอี ยาเลิฟ
2.2 ประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้  แต่ต้องภายใต้การควบคุมของแพทย์ื  และใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน(Morphine) โคเคอีน(Cocain) และเมทาโดน(Methadone)
2.3 ประเถทที่ 3 มียาเสพติดประเภทที่ 2 ผสมอยู่ จะมีประโยชน์ทางการแพทย์ การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นหรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเถทนี้ ได้แก่ ยาแก้ไอที่มีโคเคนอีน ยาแก้ท้องเสียที่มีฝิ่นผสม  ยาฉีดระงับปวด เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน(Pethidine)สกัดมาจากฝิ่น
2.4 ประเภท 4 คือ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1/2 ไม่มีใช้ในการบำบัดโรค และมียทลงโทษกำกับด้วย ได้แก่ น้ำยาเคมีที่ใช้ในการเปลี่ยนมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารบางอย่างใช้ในการผลิตยาบ้า และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท 12 ชนิด สามารถนำมาผลิตยาอี ยาบ้าได้
2.5 ประเภทที่ 5 ไม่อยู่ในข่ายยาเสพติด ประเภท 1-4 ได้แก่ ทุกส่วนของกัญชา/กระท่อม เห็ดขี้ความ เป็นต้น

3.แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แบ่งเป็น 4 ประเภท

3.1 ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน สารระเหย และ ยากล่อมประสาท
3.2 ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน กระท่อม และโคเคนอีน
3.3 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มพี (DMP) และเห็ดขี้ควาย
3.4 ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือ อาจกด กระตุ้น หรือ หลอนประสาทได้พร้อมๆกัน เช่น กัญชา

ลักษณะอาการของผู้ติดสารเสพติดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย มีอาการดังนี้

1.สุขขภาพทรุดโทรม
2.ริมฝีปากเขียวช้ำ แห้ง แตก ถ้าเสพโดยการสูบ
3.ตาไม่ตาไม่ค่อยสู้แสงสว่าง เพราะม่านตาขยายมากกว่าปกติ นัยน์ตาสีแดง
4.น้ำมูก น้ำตาไหล เหงื่ออกมาก กลิ่นตัวแรง สกปรก บางครั้งได้กลิ่นสิ่งที่เสพ เช่น บุหรี่
5.ร่างกายมีร่องรอยการเสพติด
6.หากเสพโดยการสูบ นิ้วมือ เล็บ จะมีคราบเหลืองดำ สกปรก
7.การแสดงออกของพฤติกรรมมีลักษณะแปลกไปจากปกติ

การเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม ผู้เสพสารเสพติดมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปสังเกตได้ดังนี้

1.เบื่อการเรียน การงาน เกเร หนีเรียน ละเลยกิจวัตรประจำวัน ระเบียบวินัยลด
2.ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่
3.บุคลิกเสียไป ขาดวามเชื่อมั่นในตนเอง จิตใจอ่อนแอ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ปล่อยเนื้อปล่อยตัว พูดจาไม่สัมพันธ์กับสภาพความเป็นจริง
4.ชอบอยู่สันโดษ หลบหน้าเพื่อน ทำตัวลึกลับ มั่วสุมกับคนที่พฤติกรรมการใช้สารเสพติด สูบบุหรี่จัดขึ้น ชอบแยกตัวอยู่คนเดียวที่ลับตาคนเพื่อแอบเสพยา
5.นิสัยก้าวร้าว โมโหง่ายผิดปกติ พูดจาก้าวร้าวแม้แต่บิดามารดา
6.มีธุระส่วนตัวนอกบ้านเสมอๆกลับบ้านผิดเวลาประจำ ไม่ชอบทำงาน ชอบนอนทั้งวัน ตื่่นสายผิดปกติ
7.ใช้เงินเปลืองผิดปกติ มีหนี้สิน บางครั้งขโมย
8.มีอุปกรณ์เกี่ยวกับยาเสพติด

สารเสพติดกับการเกิดโรคและอุบัติเหตุ

สารเสพติดแต่ละชนิดมีลัษณะการเสพ และอันตรายต่างกัน การใช้สารเสพติดทุกประเภทมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนกับการเกิดโรคและ อุบัติเหตุ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต เมื่อสารเสพติดเข้าร่างกายระยะเเรกจะออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง ใจสั่น ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยา จะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติประสาทล้าทำให้ตัดสินใจช้า และผิดพลาด เป็นเหตุก๋ออุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าใช้ติดต่อเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม ประสาทหลอน เห็นภาพลวงตา เสียสติ คลุ้มคลั่ง เป็นบ้า  ถ้าได้รับยาปริมาณมาก(Overdoes) จะกดประสาท และระบบหายใจทำให้หมดสติ หรือถึงแก่ตายได้

ความสัมพันธ์ของการใช้สารเสพติดกับการเกิดโรค

1.การเสพยาบ้า มีผลต่อจิตใจทำให้เกิดโรคจิตชนิดหวาดระแวง ส่งผลให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
2.การสูบบุหรี่เหมือนการฆ่าตัว ตายอย่างช้าๆทำให้เกิดโรคที่พบได้บ่อย คือ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคเกี่นวกับทางเดินหายใจรักษาไม่หาย โรคมะเร็งปอด เกิดจากสารทาร์ในควันบุหรี่ คนสูบบุหรี่มีสถิติตายด้วยโรคนี้มากกว่าคนปกติ 10 เท่า โรคหัวใจและโรคหัวใจวาย การสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดตีบตัน เกิดอาการหัวใจวาย
3.การเสพสารระเหยเป็นอันตรายต่อ ระบบหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะจะทำให้ไตอักเสบจนถึงพิการ ระบบหัวใจและหลอดเลือดจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ระบบสร้างเลือดจะทำให้ไขกระดูกซึ่งมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดหยุดทำงาน เลือดแข็งตัวช้า บางรายเกิดเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
4.การดื่มสุรา ทำให้เกิดโรคพิษสุราเรื้อรัง มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งตับเสียชีวิต เจ็บป่วย/พิการจากโรคที่สามารถป้องกันได้

ความสัมพันธ์ของการใช้สารเสพติดกับการเกิดอุบัติเหตุ

ผู้ใช้สารเสพติดอาจประสบ อุบัติเหตุได้ง่ายโดยเฉพาะการขับขี่่ยานพาหนะ เพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง ความสามารถในการมองเห็นน้อยลง เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ยานพาหนะหรือเดินบนท้องถนน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลกระทบต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพหรืออาจเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้

แนวทางการป้องกันและแก้ไข้ปัญหาสารเสพติดแนวทางการป้องกันการใช้สารเสพติด

1.การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเราใช้สารเสพติด มีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

1.1  ศึกษาเกี่ยวกับโทษของยาเสพติด
1.2  ไม่ทดลองใช้สารเสพติด 
1.3  อย่าใช้ยาเสพติดในการแก้ปัญหาชีวิต 
1.4  ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สร้างเสริมคุณค่าให้แก่ตนเอง เช่น เล่นกีฬา     
1.5  รักษาสุขภาพอนามัย ผู้ที่เจ็บป่วยบ่อยมักมีสุขภาพจิตที่ไม่ดีจนอาจนำไปสู่การใช้สารเสพติด 
1.6  มีทักษะในการปฏิเสธ ต้องรู้จักการปฏิเสธเมื่อมีผู้ชักชวนให้ใช้สารเสพติด
1.7  มีทักษะในการดำรงชีวิต รู้จักดำเนินชีวิตไปในทางที่ดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติด

2.การสร้างบรรยายกาศในครอบครัวให้อบอุ่น ควรปฏิบัติดังนี้

2.1  สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว
2.2  รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองในการเป็นสมาชิกของครอบครัว
2.3  มีความประพฤติทั้งการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี

การดำเนินงานป้องกันสารเสพติดในโรงเรียน

โรงเรียนเป็นสถาบันที่มีบทบาท สำคัญรองลงมาจากครอบครัวดังนั้นการดำเนินการเพื่อป้องกันเยาวชนให้ปลอดภัย จากยาเสพติดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1.เข้าร่วมการศึกษาเกี่ยวกับโทษและอันตรายของสารเสพติด
2.ร่วมเป็นแกนนำนักเรียนและเยาวชนในโรงเรียนดำเนินการป้องกันสารเสพติด
3.ชวนเพื่อนเข้ากลุ่มและเป็นสามชิกตามโครงการทูบีนัมเบอร์วัน
4.แกนนำและสมาชิกเครือข่ายร่วมกันสำรวจปัญหาและเฝ้าระวังสถานการณ์ในโรงเรียนและชุมชนร่วมกับอาสาสมัครที่ดำเนินการ ป้องกันสารเสพติดในชุมชน
5.แกนนำและสมาชิก ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนร่วมกันในการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันสารเสพติดในโรงเรียน
6.ร่วมกันดำเนินกิจกรรมต่างๆในการป้องกันสารเสพติด เช่น
6.1 ดำเนินการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ความรู้ให้ตระหนักถึงโทษและอันตรายของสารเสพติด
6.2 จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ร่วมกัน
6.3 ประชุมสรุปผลการดำเนินงาน ประเมินผลความสำเร็จและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานเพื่อหาทางแก้ไข
6.4 แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของเครือข่ายนักเรียนร่วมกันดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
7.ปรึกษาครูเพื่อประสานภาครัฐ เอกชน และองค์การปกครองท้องถิ่น เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนสื่ออุปกรณ์ทางวิชาการ ตลอดจนงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ
8.ขยายการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันสารเสพติด โดยเครือข่ายแกนนำนักเรียนและเยาวชนในโรงเรียนออกไปสู่ชุมชน

การเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย


หน่วยการเรียนรู้ที่ 10

การเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย

ความสำคัญ
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ เป็นขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่งในกระบวนการให้การปฐมพยาบาล เพราะการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยที่ถูกวิธีและรวดเร็วจะช่วยลดอันตรายจากการบาดเจ็บและการเสียชีวิตได้มาก
หลักทั่วไป
หลักการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยโดยทั่วไป คือต้องให้การปฐมพยาบาลผู้ป่วยก่อนหลังจากได้มีการสำรวจและประเมินสภาพร่างกายจนแน่ใจว่าผู้ได้รับบาดเจ็บหรือผู้ป่วยได้รับอันตรยมากน้อยเพียงใด รวมทั้งได้ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
หลักการทั่วไปในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วย
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมีหลักการปฏิบัติดังนี้
  1. ควรมีความรู้ความเข้าใจ อละมีทักษะในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ
  2. ต้องระลึกเสมอว่าการเคลื่อนย้ายไม่ถูกวิธีและไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง
  3. ต้องตัดสินใจเสียก่อนว่าควรใช้การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยด้วยวิธีใด
  4. เคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวังที่สุด
  5. ก่อนเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บต้องตรวจดูอาการผู้บาดเจ็บเสียก่อน
  6. ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บด้วยวิธีใดก็ตาม ผู้ช่วยเหลือจะต้องดูให้รอบคอบ เหมาะสมกับเหตุการณ์โดยไม่ให้ผู้บาดเจ็บกระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายเพิ่มขึ้น
  7. ขระทำการเคลื่อนย้ายจะต้องดูแลอย่างใกลิด สังเกตอาการ ชีพจร และการหายใจ
  8. ถ้าผู้บาดเจ็บได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ควรรีบเคลื่อนย้ายแล้วนำส่งให้ถึงมือแพทย์โดยเร็ว
  9. การเคลื่อนย้ายต้องเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ
  10. ต้องเลือกวิธีการเคลื่อนย้ายที่เหมาะสม
  11. ถ้าอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายต้องรีบย้ายผู้บาดเจ็บออกจากที่ประสบเหตุให้เร็วที่สุด
วิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบต่างๆ
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ้บแบบพยุงเดิน การเคลื่อนย้ายวิธีนี้ทำโดยมีผู้ช่วยเหลือเพียงคนเดียว เป็นการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยเล็กน้อยมีสติอยู่ และช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง 
 วิธีปฏิบัติ ผู้ช่วยเหลือยืนคู่กับผู้บาดเจ็บ หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน จับแขนผู้บาดเจ็บข้างใดข้างหนึ่งถ้าผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บที่ขาก็ให้ขาข้างที่บาดเจ็บอยู่ใกล้กับขาผู้ช่วยเหลือ เอามือผู้บาดเจ็บพาดบ่าคล้องคอผู้ช่วยเหลือ จับข้อมือผู้บาดเจ็บไว้ มืออีกข้างโอบหลังผู้บาดเจ็บพาเดิน ต้องพยายามออกแรงพยุงผู้บาดเจ็บให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้บาดเจ็บเดินได้โดยไม่ต้องใช้แรงมากและเป็นการลดน้ำหนักตัวที่จะลงบนขาในกรณีที่เป็นการบาดเจ็บที่ขา เท้า หรือข้อเท้า 
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบแบกใส่บ่า 
ใช้ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บหมดสติ หรือถ้ามีสติก็ต้องมีรูปร่างไม่ใหญ่โตมากนัก และผู้ช่วยเหลือต้องมีรูปร่างใหญ่โดและแข็งแรงกว่า สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
 วิธีที่ 1
1.ผู้ช่วยเหลือสัมผัสร่างกายผู้บาดเจ็บ
2.ก้าวเท้าไปยืนคร่อมลำตัวผู้บาดเจ็บ เอามือดึงไหล่ขึ้นมา
3.ใช้มือสอดเข้าใต้รักแร้ทั้งสองข้างจนมือประสานกันได้
4.ดึงตัวผู้บาดเจ็บขึ้นมาจากท่าคุกเข่าจนถึงท่ายืน
5.ใช้มือจับข้อมือผู้บาดเจ็บข้างหนึ่ง ย่อตัวนำผู้บาดเจ็บพาดที่บ่าใช้มืออีกข้างรวบที่ขาทั้งสองตรงข้อพับ
6.ลุกขึ้นยืน เอามือผู้บาดเจ็บข้างที่จับไว้ตอนต้นส่งไปยังมือที่จับขา
7.ใช้มือข้างที่จับขาผู้บาดเจ็บจับมือผู้บาดเจ็บแทน โดยให้ขาผู้บาดเจ็บอยู่ระหว่างแขนและลำตัวของผู้ช่วยเหลือ
วิธีที่ 2
1.ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าเหนือศรีษะผู้บาดเจ็บ
2.ใช้มือทั้งสองสอดเข้าใต้รักแร้
3.ยกตัวขึ้นมาจนอยู่ในท่ายืน
4.ย่อตัวลงแบกผู้บาดเจ็บขึ้นบ่า ให้มือข้างหนึ่งจับข้อมือผู้บาดเจ็บ อีกข้างคล้องขาด้านในผู้บาดเจ็บยืนตรง ส่งมือที่จับผู้บาดเจ็บไปยังมือที่กอดขา แล้วพาเดิน


 การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบอุ้มกอดด้านหน้า 
เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บที่เดินไม่ได้ และน้ำหนักตัวไม่มากหนัก หรือไม่เกินกำลังของผู้ช่วยเหลือ 
 วิธีปฏิบัติ
1.ให้ยกผู้บาดเจ็บขึ้นมาด้วยการคุกเข่าข้างหนึ่งลง
2.ยกผู้บาดเจ็บขึ้น ให้ผู้บาดเจ็บพักบนเข่า
3.ยกผู้บาดเจ็บขึ้นในท่ายืน เพื่อคามนุ่มนวลและป้องกันอันตรายซึ่งอาจเกิดที่กระดูกสันหลังแล้วพาเดิน ถ้าผู้บาดเจ็บยังมีสติอยู่ใช้แขนด้านในคล้องคอผู้ช่วยเหลือ

 การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบกอดคอขี่หลัง
 
เหมาะกับผู้บาดเจ็บที่ขา เดินไม่ได้ แต่ต้องรู้สึกตัวดีหรือรู้สึกตัวอยู่บ้าง มีน้ำหนักตัวไม่หนักมาก ไม่เกินกำลังของผู้ช่วยเหลือ
วิธีปฏิบัติ ให้ผู้บาดใจยืนทาบหลังและกอดคอผู้ช่วยเหลือ ผู้ช่วยเหลือย่อตัวลงพร้อมสอดมืทั้งสองข้างเข้าใต้เข่าของผู้บาดเจ็บ และดึงมือทั้งสองข้างของผู้บาดเจ็บมายึดไว่ในลัำกษณะไขว้กัน เมื่อทรงตัวได้จึงพาเดิน
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบใช้สองคนหาม
ใช้ในกรณีผู้บาดเจ็บที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เหมาะสำหรับย้ายผ่านที่แคบ 
วิธีปฏิบัติ ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งอยู่ทางศรีษะ สอดแขนเข้าใต้รักแร้ของผู้บาดเจ็บ แล้วโอบมาด้านหน้า มือทั้งสองจับให้แน่น ส่วนผู้ช่วยเหลืออีกคนอยู่ด้านหน้าหันหน้าไปตามกันกับคนหลัง ยืนระหว่างขาทั้งสองของผู้บาดเจ็บ ใช้มือจับใต้เข่าทั้งสองข้างของผู้บาดเจ็บ หลังจากนั้นให้ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนยกผู้บาดเจ็บขึ้นในท่านั่ง แล้วจึงพาเดิน ต้องใช้ความเร็วเท่ากัน  
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบที่นั่งสองมือ 
ใช้ในกรณีผู้บาดเจ็บเดินไม่ได้ หมดสติ 
วิธีปฏิบัติ ผู้ช่วยเหลือทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน คุกเข่าลงข้างตัวของผู้บาดเจ็บคนละข้างพยุงผู้บาดเจ็บให้อยู่ในท่านั่ง  ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนใช้แขนโอบหลังผู้บาดเจ็บบริเวณรักแร้แล้วใช้มือจับข้อมือซึ่งกันและกัน  สอดแขนอีกข้างเข้าที่ใต้เข่าของผู้ได้รับบาดเจ็บ และใช้มือจับข้อมือซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงยกผู้บาดเจ็บขึ้นพร้อมๆ กัน แล้วพาเดินไป

การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบอุ้มประสานแคร่ 
ใช้ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บมีสติดี และสามารถใช้มือยึดจับผู้ช่วยเหลือได้
วิธีปฏิบัติ ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน ใช้มือขวาจับข้อมือซ้ายของตนและใช้มือ        ซ้ายของตนจับข้อมือขาของอีกคนหนึ่ง มือทั้งสี่จะประสานกันเป็นแคร่ ย่อตัวลงให้ผู้บาดเจ็บนั่งลงบนมือทั้งสี่ แล้วให้ผู้บาดเจ็บโอบรอบคอผู้ช่วยเหลือทั้งสอง หลังจากนั้นยกผู้บาดเจ็บขึ้นพร้อมกันแล้วพาเดิน
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบสามคนหาม 
ใช้ในกรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บในลักษณะนอน หรือผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัว ระยะที่เคลื่อนที่ไปไม่ไกลนัก  และต้องมีผู้ช่วยเหลือสามคน 
วิธีปฏิบัติ
1.ผู้ช่วยเหลือทั้ง 3 หันหน้าไปทางเดียวกันและควรเป็นข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ช่วยหลือทั้งหมดคุกเข่าลงและเป็นเข่าข้างเดียวกัน คนที่อยู่ทางศีรษะสอดแขนเข้าที่ใต้ศีรษะ คอ และไหล่  ส่วนแขนอีกข้างสอดเข้าที่ใต้หลัง คนถัดมาสอดแขนข้างหนึ่งเข้าที่บริเวณเอวและสะโพก ส่วนอีกข้างสอดเข้าที่ขาท่อนบน  คนท้ายสอดแขนเข้าที่ใต้เข่า และแขนอีกข้างสอดเข้าที่ข้อเท้า
2.ยกผู้บาดเจ็บขึ้นพร้อมๆ กันในท่านั่ง แล้วทุกคนกอดผู้บาดเจ็บให้ด้านหน้าของเข่าแนบลำตัวของผู้ช่วยเหลือทุกคน
3.ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เมื่อทรงตัวได้แลัวจึงพาเดินด้วยความระมัดระวังและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยโดยใช้อุปกรณ์ มีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ดังนี้ 
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแบบใช้เก้าอี้ 
ควรใช้เก้าอี้ที่มีความแข็งแรง และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บที่ยังมีสติอยู่ แต่ไม่สามารถเดินได้ หรือใช้ในกรณีที่ต้องนำผู้ป่วยลงบันได 
วิธีปฏิบัติให้ผู้บาดเจ็บนั่งพิงเก้าอี้ในท่าที่สบายๆให้ผู้ช่วยเหลือสองคนยกเก้าอี้ขึ้น คนหนึี่งจับด้านหลังพนักพิงและอีกคนหนึ่งจับทางด้านหน้าของเก้าอี้ ยกเก้าอี้ขึ้น แล้วพาเดินไปทางด้านข้าง

การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบใช้ผ้าห่มทำเปล
 
เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บที่มีอาการหนัก และจำเป็นต้องใช้แปลสนามแต่ไม่มีแปล  จึงต้้องดัดแปลงวัสดุมาทำแปล 
วิธีทำแปล
1.นำผ้าห่มผืนใหญ่ๆหนาๆ มาคลี่ออกแบ่งเป็น 2 ส่วน พับส่วนที่ 1 มาหาส่วนที่ 2 แล้วสอดไม้พลองตามรอยพับให้โพล่ออกมาทั้ง 2 ข้าง
2.นำไม้พลองท่อนที่ 2 วางลงบนผ้าที่พับไว้ห่างจากไม้พลองอันแรกพอควร
3.พับชายผ้าห่มย้อนกลับมาทับไม้พลองอันที่ 2 และให้ชายผ้าพาดคลุมไม้อันที่ 1 ได้เปลที่ใช้ผ้าห่มและไม้พลองทำ
วิธีลากด้วยผ้าห่ม 
เหมาะสำหรับย้ายผู้ป่วยออกจากตึกที่กำลังมีไฟไหม้ ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หมดสติ และพื้นที่นั้นเรียบ วิธีการย้ายให้พับผ้าห่มตามยาวทบกัน 2-3 ชั้น วางผ้าห่มชิดตัวผู้ป่วยทางด้านขวา ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าลงข่างตัวผู้ป่วยอีกข้างหนึ่ง จับผู้ป่วยตะเเคงเพื่อให้นอนบนผ้าห่มม้วนผ้าห่มเข้าหากัน ผู้ช่วยเหลือใช้มือสองข้างจับผ้าห่มในตำแหน่งศรีษะของผู้ป่วย ใช้มือดึงผ้าห่มเคลื่อนย้ายไปในทิศทางที่ต้องการ
วิธีปฏิบัติ ให้ผู้บาดเจ็บนอนหงาย ผู้ช่วยเหลือสอดมือใต้รักแร้แล้วลากถอยหลัง หรือใช้การจับข้อเท้าทั้งสองข้างแล้วลากถอยหลัง
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบคลานลาก 
 ใช้ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัวและอยู่ในที่แคบ ไม่สามารถยืน และย้ายผู้บาดเจ็บได้ 
วิธีปฏิบัติ ให้ผู้บาดเจ็บนอนหงายผูกข้อมือทั้งสองข้างให้ติดกัน ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าคร่อมตัวผู้บาดเจ็บในท่าคลานแล้วสอดศรีษะเข้าระหว่างแขนทั้งสองที่ผูกข้อมือไว้ จากนั้นผู้ช่วยเหลือจะคลานโดยใช้คอลากผู้บาดเจ็บเคลื่อนที่

การปฐมพยาบาล


หน่วยการเรียนรู้ที่ 9

การปฐมพยาบาล

ความหมายของการปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล  คือ การช่วยเหลือเบื้อต้นโดยรีบด่วนแก่ผู้ได้รบบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอย่างกระทันหัน เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้ได้รับอันตรายน้อยที่สุด
ความสำคัญของการปฐมพยาบาล
  1. การปฐมพยาบาลเป็นการช่วยรักษาชีวิตของผู้บาดเจ็บและผู้ป่วย
  2. การปฐมพยาบาลช่วยป้องกันไม่ให้ผู้บาดเจ้บและผู้ป่วยมีสภาพหนักกว่าเดิม ช่วยป้องกันอันตรายจากการเจ็บป่วย
  3. การปฐมพยาบาล เป็นการทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน
  • หลักทั่วไปในการปฐมพยาบาล
  1. ในสถานที่ที่มีผู้ได้รับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยให้ผู้ปฐมพยาบาลสังเกตสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ไม่ควรให้คนมุงแน่นและไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ปาดเจ็บ ยกเว้นกณีฉุกเฉิน
  2. ประเมินสภาพแวดล้อมรอบๆ ที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยหรือไม่ จึงเข้าไปให้ช่วยเหลือ เพราะบางเหตุการณ์ผู้ช่วยเหลืออาจได้รับอันตรายได้
  3. หากประเมินว่าไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้ตามลำพัง ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
  4. จัดท่าให้ผู้บาดเจ็บนอนพักนิ่งๆในท่าที่สบายหรือท่าที่เหมาะสมแก่การปฐมพยาบาล
  5. ประเมินสภาพผู้บาดเจ็บว่าได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลเร่งด่วนหรือไม่
  6. ถ้าจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บต้องกำหนดให้ถูกต้องว่าจะยก เคลื่อนย้าย เพื่อส่งต่อในลักษณะใด
  7. อุบัติเหตุและการเจ็บป่วยบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อให้การปฐมพยาบาลแล้ว รีบนำส่งไปรับการรักษาทันที
สถานการณ์ที่ต้องให้การปฐมพยาบาล 
  1. หมดสติ เปนการที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น
  2.  เลือดออก การบาดเจ็บมักมีบาดแผลเลือดออก ซึ่งเลือดจะออกมาภายนอกหรือภายในก็ได้
  3. กระดูกหัก ต้องปฐมพยาบาลโดยการเข้าเฝือกชั่วคราว เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
  • วิธีการปฐมพยาบาลคนเป็นลม
การเป็นลม (fainting) เป็นอาการเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วคราว
สาเหตุ
  1. ร่างกายอ่อนเพลีย
  2. ขาดอาการบริสุทธิ์
  3. เกิดจากอารมร์ 
  4. มีบาดแผลเสียเลือดมาก
อาการ
  1. อาการที่ผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วยบอก เช่น วิงเวียนศีรษะ มือเย้น ตาพร่า
  2. อาการที่สังเกตุได้ เช่น หน้าซีด ปากซีด ตัวเย็น 
การปฐมพยาบาลคนเป็นลม
กรณีที่มีการหายใจปกติ ให้การปฐมพยาบาลดังนี้

  1. ห้ามมุงดู พาเข้าที่ร่ม ให้อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
  2. ให้นอนราบ ไม่หนุนหมอน หรือนอนศีรษะต่ำ ยกเท้าสูง
  3. คลายเสื้อผ้าให้หลวม
  4. ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าผาก มือ และเท้า
กรณีที่มีการหายใจผิดปกติ
  1. นอนหงายบนพื้นราบ
  2. คลายเสื้อผ้าออกให้หลวม
  3. ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง
  4. ถ้าหยุดหายใจ รีบบอกผู้ใหญ่ให้ช่วยการหายใจทันทีิ   รีบนำส่งโรงพยาบาลหรือโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล 
  • วิธีการปฐมพยาบาลบาดแผล
บาดแผล หมายถึง การถูกทำลายของผิวหนังกรือเนื้อเยื่อที่อยู่ภายใต้ผิวหนังด้วยสาเหตุใดก็ตาม บาดแผลแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
  • แผลปิด เป็นแผลที่ไม่มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ แต่มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่ออยู่ใต้ผิวหนัง 
การปฐมพยาบาล
ให้ประคบเย็นในช่วง 24 ชั่วโมง เพื่อให้หลอดเลือดบริเวณนั้นหดตัว จะได้ไม่มีเลือดออกมาอีก แล้วพันผ้าให้แน่นพอสมควร ห้ามนวดเพราะจะทำให้หลอดเลือดฉีกขาด หลัง 24 ชั่วโมง ให้ประคบร้อนเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว
  • แผลเปิด เป็นแผลที่ผิวหนังฉีกขาดมีเลือดออก
การปฐมพยาบาล
  1. แผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดแผลให้แห้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ
  2. แผลฉีกขาด ให้ปิดแผลด้วยผ้าสะอาดและกดแผลให้แน่นเพื่อห้ามเลือด จากนั้นส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการเบ็บแผล
  3. แผลถูกแทง ให้ปิดปากแผลด้วยผ้าสะอาด แล้วรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  4. แผลถูกของแหลมทิ่มตำ เมื่อถูกของแหลมทิ่มตำผ่านผิวหนัง ให้ดึงออกปิดปากแผลด้วยผ้าสะอาด และนำส่งโรงพยาบ แต่ถ้าของแหลมหัก คา ค้าง ไม่สามารถดึงออกให้ปิดบาดแผลและส่งโรงพยาบาล
  5. แผลถูกไฟไฟม้ น้ำร้อนลวกหรือวัตถุระเบิด ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งปิดแผลช่วยลดอาการปวด อย่าเจาะผิวหนังที่พองให้แตกออกเพราะจะยิ่งปวดแสบปวดร้อน
  • บาดแผลถูกแมลงต่อย
อาการไม่รุนแรง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับจำนวนแมลงที่ต่อยและจำนวนครั้งที่ถูกต่อย บริเวณที่ถูกต่อย ภูมิแพ้ คนที่แพ้จะมีอาการรุนแรงเมื่อถูกต่อย จะมีอาการปวด บวม ถ้าถูกต่อยมากและแพ้ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก 
การปฐมพยาบาล
  1. รีบเอาเหล็กในออก โดยใช้สก๊อตเทปปิดทาบบริเวณที่ถูกต่อยแล้วดึงออก เหล็กในจะตามออกมาด้วย
  2. ประคบด้วยความเย็น เพื่อระงับความเจ็บปวด ถ้าปวดมากให้กินยาแก้ปวด
  3. พิษของสัตว์พวกนี้มีฤทธิ์เป็นกรด ต้องใช้น้ำยาที่เป็นด่างอย่างอ่อนชุบสำลี
  4. ถ้ามีอาการมากรีบปรึกษาแพทย์ 
  • บาดแผลไฟไฟม้ น้ำร้อนลวก
ไฟไหม้ (Burns) หมายถึง การถูกทำลายของผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ เนื่องจากถูกความร้อนแห้ง  
น้ำร้อนลวก (scalds) หมายถึง การถูกทำลายของผิวหนังเนื้อเยื่อ เนื่องจากถูกความร้อนชนิดเปียก 
การปฐมพยาบาล
  1. ถ้าเป็นแผลขนาดเล็กมีอาการปวดแสบปวดร้อน วิธีลดความปวดแสบปวดร้อนคือใช้ความเย็น อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นวงตรงบริเวณที่ถูกไฟไฟม้ จะช่วยลดความเจ็บปวด
  2. ถ้าบาดแผลลึก บริเวณแผลไม่กว้า การปฏิบัติคือ ป้องกันการอักเสบติดเชื้อ ถ้าบาดแผลพองอาจปล่อยไว้เฉยๆ เพียงแต่รักษาความสะอาดภายนอก
  3. ถ้าบาดแผลไฟไหม้บริเวณข้อพับ แขนหรือขา ควรใส่เฝือกชั่วคราว เพื่อป้องกันการหดรั้งของแผล
  4. ถ้ามีช็อกรีบรักษาไว้ก่อน
  • บาดแผลถูกสารเคมี
บาดแผลถูกน้ำกรดหรือน้ำด่างจะมีลักษณะไหม้ และมีอาการเจ็บปวดคล้ายๆกัน อันตรายที่เกิดขึ้นคือ แผลไหม้จากสารเคมีอาจกินลึกกว่าและการหายของบาดแผลช้ากว่า 
บาดแผลถูกกรด
บาดแผลถูกกรด เช่น กรดกำมะถัน กรดเกลือ
การปฐมพยาบาล
  1. ควรล้างแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากๆ เป็นเวลานาน ถ้าเป็นน้ำอุ่นได้ยิ่งดีล้างให้แน่ใจว่าสารเคมีออกหมด
  2. รีบนำส่งแพทย์
บาดแผลถูกด่าง เช่น โปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ ปูนขาว โซดาไฟ
การปฐมพยาบาล 
  1. ควรล้างแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากไเป็นเวลานานๆ
  2. รีบนำส่งแพทย์

สมรรถภาพทางร่างกาย


 หน่วยการเรียนรูู้ที่ 8

สมรรถภาพทางร่างกาย

สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ความสำคัญของการสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย 
สมรรถภาพทางกายมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของบุคคล ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลที่มีสมรรถภาพทางกายดี จะสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันด้วยความกระฉัับกระเฉง การมีสมรรถภาพทางกายที่ดี มีความสำคัญดังนี
  1. ทำให้สุขภาพทางร่างกายแข็งแรง
  2. การทำงานของอวัยวะต่างๆ มีการประสานกันดีขึ้น
  3. ทำให้บุคลิกลักษณะดี มีความสง่า ทรวดทรงดีและสัดส่วนของร่างกายดีขึ้น
  4. ป้องกันการเกิดฌรคต่างๆ ที่มาจากการใช้ชีวิตประจำวัน
ประเภทของสมรรถภาพทางกาย
สมรรถภาพทางกาย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพและสมรรถภาพทางกายเพื่อทักษะ
  1. สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภภาพ หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการที่จะทำให้บุคคลมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอันเนื่องมาจากการขาดการออกกำลังกาย
  2. สมรรถภาพทางกายเพื่อทักษะ หมายถึง ความสามารถของร่างกายที่ช่วยให้บุคคลสามารประกอบกิจกรรมทางกายได้ดี
วิธีทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ
การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ มีความสำคัญและมีความจำเป็นกับทุกคนเพราะจะแสดงให้เห็นว่าความสามารถของร่างกายบุคคลนั้นอยู่ในระดับใด เพียงพอที่จะปฏิบัติกิจกรรมต่างๆได้ดีหรือไม่
  1. การทดสอบความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ มีความจำเป็นต่อมนุษย์ในการดำรงชีวิตประจำวัน 
  2. การทดสอบความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อ เป็นองประกอบที่อยู่ในสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ และสมรรถภาพทางกายเพื่อทักษะ ความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อ
  3. การทดสอบความอ่่อนตัว เป็นการวัดความสามารของกล้ามเนื้อและข้อต่างๆของร่างกายที่เคลื่อนไหว
  4. การวัดส่วนประกอบของร่างกาย เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูุง สัดส่วนระหว่างเอวกับสะโพกว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
วิธีการสร้างเสริมและปรับปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการทดสอบ
การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก การมีสมรรถภาพทางกายที่ดีจะส่งผลให้มีสุขภาพดี ปราศจาากโรคภัยไข้เจ็บ วิธีการสร้างเสริมและปรับปรุงสมรรถภาพทางกายสามารถทำได้ดังนี้ 
1. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมิ สามารถป้องกันโรคภัยต่างๆ และลดอาการเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากการไมออกกำลังกาย การออกกำลังกายถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพมากเพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานใหกับร่างกาย ดังนั้นนักเรียนควรมีคามรู้ความเข้าใจหลักในการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ดังต่อไปนี้ 
1.1การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย กาออกกำลังกายโดยทั่วไปนั้น ถ้าหากว่าร่างกาปกติไม่มีอาการเจ็บป่วย สามารถที่จเริ่มต้นออกกำลังกายได้ทัยที แต่ในกรณีที่มีอาการผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่าย หรือ มีโรคประจำตัว ควรได้รับการตรวจจากแพทย์ก่อนที่จะออกกำลังกาย 
1.2ปฏิบัติตามหลักการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ควรจะปฏิบัติตามหลักของการออกกำลังกาย ดังนี้
      1.2.1 การอบอุ่นร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้กับร่างกายก่อนที่จะมีการประกอบกิจกรรม

      1.2.2 วิธีการออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ถูกวิธีและถูกขั้นตอน จะช่วยทำให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น
      การคำนวณหาอัตราการเต้นของหัวใจที่เป็นเป้าหมาย
      อัคราการเต้นของหัวใจที่เป็นเป้าหมาย คือ สิ่งที่แสดงให้ทราบว่า เราได้ออกกำลังกายให้มีความหนักได้ตรงตามกำหนดหรือไม่ โดยมีวิธีการคำนวณตามขั้นตอนดังนี้ 
      ขั้น 1 หาอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด 220-อายุ (ปี) = จำนวนครั้ง/นาที(100%)
      ขั้น 2 หาช่วงความหนัก/ความเหนื่อยที่เป็นเป้าหมาย
      • ช่วงเผาผลาญไขมัน (Target heart rate = THR) คือ 55-60% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
      • ช่วงเพิ่มสมรรถภาพหัวใจ (Aerobic Training Zone) คือ 65-85% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
      2. การผักผ่อน
      การพักผ่อนมีความสำคัญมากต่อการสร้างเสริมสมรรถภาพทางกาย การพักผ่อนหมายถึงการนอนหลับและกิจกรรมเสริมอื่นๆ ที่ทำแล้วช่วยขจัดความเหน็ดหนื่อย อ่อนเพลีย เครียดทัั้งด้านร่างกายและจิตใจ การพักผ่อนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ิอคนทุกเพศทุกวัย
      ประโยชน์ของการพักผ่อน 
      1. ทำให้เกิดการผ่อนคลายต่อร่างกายและจิตใจ
      2. ร่างกายได้พักผ่อนและสะสมพลังงาน
      3. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
      4. ความดันเลือดลดลง
      5. ช่วยบริหารจิต ทำให้จิตใจสงบ 
      3. การกินอาหาร
      การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ สามารถทำได้ง่ายมาก ด้วยการกินอาหารครบ 5 หมู่เพื่อให้สารอาหารครบถ้วน คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่และวิตามิน  
      4. กิจกรรมนันทนาการ
      นันทนาการ หมายถึง การทำให้ชีวิตสดชื่น โดยการเสริมสร้างพลังงานขึ้นใหม่ หลังจากที่ร่างกายใช้พลังงานแล้วเกิดเป็นความเหนื่อยเมื่อยล้าทางร่างกาย จิตใจและทางสมอง เมื่อบุคคลเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจะช่วยขจัด หรือผ่อนคลายความเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านร่างกายและจิตใจ ในความหมายนี้ นันทนาการจึงเป็นการตอบสนองความต้องการทางกายและจิตใจของบุคคลไได้อย่างแท้จริง

      น้ำหนักตัวกับสุขภาพ


      หน่วยการเรียนรู้ที่ 7

      น้ำหนักตัวกับสุขภาพ

        ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า "โรคอ้วนลงพุง" ตามข่าวโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อต่างๆ คนอ้วนลงพุงไม่เพียงแต่ส่งผลต่อนูปร่างของบุคคลนั้นๆแล้ว ยังทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันเลือดสูง  โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ ถ้าทุกๆคนยังไม่อยากเป็นโรคอ้วนลงพุง ทุกคนจะต้องรักษาน้ำหนักตัวให้ได้ตามมาตรฐาน
       ความสำคัญของการดูแลและควบคุมน้ำหนักตัว
        กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้น้ำหนักตัวเป็นดัชนีวัดด้านสุขภาพที่สำคัญ เพราะน้ำหนักตัวมีผลโดยตรงต่อสุขภาพ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเหมาะสมกับวัย และได้สัดส่วนกับความสูงของตนเอง จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโรค และมีชีวิตยืนยาว ในทางตรงข้ามผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่ได้มาตรฐาน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการดังนี้
        ผลกระทบจากการมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรือโรคอ้วน แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม คือ
        ๑. โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน
        ๒. ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อและการเผาผลาญทางชีวเคมีในร่างกาย
        ๓. ปัญหาสุขภาพอ่อนแอ 
        ๔. ปัญหาทางสังคมและจิตใจ
        ผลกระทบจากการมีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานหรือโรคผอม  คือ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย และประสิทธิภาพทางการเรีียนและทำงานด้อยกว่าปกติ
        การมีน้ำหนักตัวมากเกินมาตรฐานหรือโรคอ้วนในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเช่นเดียวกับการมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานในวัยผู้ใหญ่ การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานในเด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มสูงที่จะมีน้ำหนักเกินมาตรฐานในวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักตัวตั้งแต่วัยเด็กจึงมีความสำคัญ ส่วนสาเหตุของการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในวัยเด็กนั้นาจากหลายสาเหตุ เช่น การเติบโตในครอบครัวที่มีการบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูง
      วิธีการประเมินและวิเคราะห์น้ำหนักตัว
        การจะประเมินน้ำหนักตัวว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่นั้นทำไ ด้หลายวิธี ดังนี้
        การประเมินน้ำหนักตัวในเด็ก ใช้ค่าน้ำหนักตัวเทียบกับน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ
        การประเมินน้ำหนักตัวในผู้ใหญ่ คำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เป็นหน่วยมาตรฐานสากลทีใช้จำแนกน้ำหนักของร่างกาย วิธีคำนวณใช้น้ำหนักตัวเป็นตัวตั้ง (หน่วยกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร)
        การแปลผลค่าดัชนีมวลกายสำหรับคนเอเชีย
         ค่า BMI น้อยกว่า ๑๘.๕       หมายถึง น้ำหนักน้อย
         ค่า BMI ๑๘.๕๐ ถึง ๒๒.๙๙ หมายถึง น้ำหนักปกติ 
         ค่า BMI ๒๓.๐๐ ถึง ๒๔.๙๙ หมายถึง น้ำหนักเกิน
         ค่า BMI ๒๕.๐๐ ถึง ๒๙.๙๙ หมายถึง อ้วน 
         ค่า BMI ๓๐.๐๐ ขึ้นไป         หมายถึง อ้วนมาก
        วิธีการดูแลและควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐา
         ๑. กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนและปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้พอเหมาะแต่ละวัน
         ๒. กินอาหารเช้าทุกวัน
         ๓. กินอาหารพออิ่มในแต่ละมื้อ 
         ๔. กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป
         ๕. กินผักและผลไม้รสไม่หวาน
         ๖. กินอาหารมื้อเย็นห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง
         ๗. กินให้น้อยลง รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด
         ๘. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
         ๙. ประเมินและวิเคราะห์น้ำหนักตัวเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ

      การแก้ไขปัญหาน้ำหนักตัว

       การเพิ่มน้ำหนักตัว
         ๑. กินอาหารหลากหลายครบ ๕ หมู่
         ๒. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้เหนื่อยระดับปานกลาง คือ หายใจเร็วขึ้น ไม่หอบ หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่สามารถพูดได้จบประโยค
       การลดน้ำหนักตัว
         ๑. มีความตั้งใจ และมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนัก
         ๒. สร้างความคิดที่ดี
         ๓. ตั้งเป้าหมายี่เป็นไปได้ของน้ำหนักที่จะลด
         ๔. ลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ไม่ควรลดมากจนเกินไป
         ๕. อัตรการลดน้ำหนักที่เหมาะสม
         ๖. ควบคุมพลังงานจากอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
         ๗. กินอาหารทุกมื้อ
         ๙. งดของหวาน ลูกอม น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
         ๑๐. มีความอดทน
         ๑๑. เคี้ยวอาหารช้าๆ ใช้เวลาเคี้ยวประมาณ ๓๐ ครั้งต่อ ๑ คำ
         ๑๒. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 



      วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

               ในปัจจุบันตาม social network มีคลิปวิดิโอและสิ่งต่างๆที่เป็นสื่อที่ไม่ดีมากมาย เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า
      1.ผู้ที่นำคลิปวิดีโอนั้นลงมีความคิดที่ว่าอยากจะเป็นจุดสนใจ จุดเด่น
      วิธีแก้ไข : พ่อแม่ผู้ปกครองควรตักเตือนและดูแลอย่างใกล้ชิด
      2.อยากมีเพศสัมพันธ์
      วิธีแก้ไข : ปรึกษาและขอคำแนะนำจากพ่อแม่
      3.เป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวขาดความอบอุ่น
      วิธีแก้ไข : ครอบครัวควรหากิจกรรมที่ดีทำร่วมกันให้มาก
      4.ไม่รักนวลสงวนตัว
      วิธีแก้ไข : ผู้ปกครองควรอบรมสั่งสอนอย่างเข้มและงวดดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้น
      5.เกิดจากผู้หญิงแย่งผู้ชายกัน
      วิธีแก้ไข : ตัดใจจากผู้ชายคนนั้น และปรับความเข้าใจกับเพื่อนฝ่ายตรงข้าม

      วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

      การเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
      เพศชาย
      1.เสียงแตก,เสียงห้าว
      2.มีขนขึ้นที่จุดซ่อนเร้น
      3.น้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
      4.มีฝันเปียก
      5.อวัยวะเพศใหญ่และยาวขึ้น
      6.เริ่มมีหนวดเครา
      7.มีความต้องการทางเพศ
      8.สนใจเพศตรงข้าม
      9.ความอยากรูอยากลอง
      10.มีอาการเจ็บบริเวรนม
      เพศหญิง
      1.มีประจำเดือน
      2.มีสิว
      3.หน้าอกผาย
      4.รูปหน้าเปลี่ยนไป
      5.อยากรู้อยากเห็น
      6.มีความอยากเป็นส่วนตัว
      7.มีอาการรักนวลสงวนตัว
      8.เอาคอด
      9.มีอารมณ์ทางเพศ
      10.แขนขายาวขึ้น